บทความทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร

เครื่อง 3D Printer



3D Printing มีชื่อเรียกอีกอย่างคือ Additive Manufacturing มีรากมาจากคำว่า ‘Add’ ซึ่งคือการขึ้นรูปชิ้นงานโดยการเติมเนื้อวัสดุทีละชั้นๆ จนได้ออกมาเป็นวัตถุที่ต้องการ กระบวนการผลิตชนิดนี้ได้ฉีกแนวจากวิธีการแบบเดิมๆที่เรียกว่า Subtractive Manufacturing ที่เป็นการสกัดเนื้อวัสดุออกจนได้เป็นรูปร่างของวัตถุที่ต้องการผลิต โดยวิธีการตัด กลึง ไส เจาะ เจียรไน เป็นต้น

เครื่อง 3D Printer มีอยู่มากมายหลายประเภท ทั้งเครื่องที่ขึ้นรูปชิ้นงานจากวัสดุพลาสติก โลหะ เซรามิค ตั้งแต่ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือไปจนถึงขนาดเท่าบ้านทั้งหลัง แต่ทุกประเภทมีหลักการทำงานเหมือนกัน นั่นก็คือการขึ้นรูปชิ้นงานทีละชั้นๆ ซ้อนกันจนกลายเป็นวัตถุที่ต้องการ เทคโนโลยี 3D Printing ที่แพร่หลายที่สุดคือ FDM (Fused Deposition Modeling) ซึ่งใช้วิธีละลายเส้นพลาสติกและฉีดพลาสติกขึ้นรูปเป็นวัตถุทีละชั้น


ข้อดี 

        -    สร้างชิ้นงานที่มีความซับซ้อนได้มากกว่า

        -    ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความต้องการของแต่ละคน

        -    ไม่จำเป็นต้องใช้แม่พิมพ์หรือ Tooling

        -    พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้รวดเร็วและง่ายดาย   

        -    ลดปริมาณของเสียจากการผลิต 


ข้อเสีย

        -    ไม่เหมาะกับการผลิตแบบจำนวนมาก

        -    มีวัสดุให้เลือกใช้น้อยกว่า

        -    ความแข็งแรงของชิ้นงานด้อยกว่า

        -    ความแม่นยำ ความละเอียดของชิ้นงานต่ำกว่า


ผลกระทบ

        เหมาะกับการสร้างชิ้นงานต้นแบบอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่เหมาะกับการนำมาผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก และยังมีข้อจำกัดด้านความแข็งแรงและความแม่นยำของชิ้นงานอีกด้วย


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม